♦ ไอระเหย ควันและแก๊สจากการเชื่อมโลหะ อันตรายที่ถูกมองข้าม
เรียบเรียงโดย ชัชชัย อินนุมาตร
ในปัจจุบันกระบวนการเชื่อมโลหะนั้นนับว่ามีความสำคัญมากอย่างหนึ่งในอุตสาหกรรม ในผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่งๆ อาจจะต้องมีการประกอบจากชิ้นส่วนโลหะย่อยๆเป็นสิบเป็นร้อยชิ้น การประกอบงานนั้นหากว่าไม่มีการเชื่อมโลหะแล้วอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นได้มากทีเดียว และเคยมีผู้กล่าวไว้ว่ารถยนต์ที่ท่านใช้อยู่อาจจะมีราคาแพงกว่าหลายเท่าตัวถ้าไม่ใช้การเชื่อมโลหะ
แต่หากท่านสังเกตจะพบว่า เมื่อใดที่มีการเชื่อมโลหะจะต้องมีควันเกิดขึ้นทุกครั้ง และท่านได้คิดบ้างหรือไม่ว่า ควันที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอันตรายต่อท่านและมันสามารถทำให้ท่าน “ตายผ่อนส่ง” ได้อย่างไม่รู้ตัว ช่างเชื่อมที่เชื่อมโลหะในงานบางประเภท เช่น การเชื่อมสแตนเลส, เหล็กเคลือบสังกะสี หรือ ท่อเหล็กเคลือบสังกะสี หรือการเชื่อมชิ้นงานที่ผ่านการชุบเคลือบผิวมาแล้ว บุคคลจำพวกนี้มักจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายสูง
ในการเชื่อมโลหะจะมี ไอระเหย (Fumes) เกิดขึ้นจากการที่โลหะได้รับความร้อนสูงจนกระทั่งหลอมละลายและเกิดไอระเหยของโลหะ เมื่อไอระเหยถูกควบแน่น (Condense) จะอยู่ในรูปอนุภาคของแข็งที่ละเอียดมาก (Solid fine particle) [1] ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอน (0.001 มม.) [2] ไอระเหยนี้จะมีส่วนประกอบสองส่วน คือไอระเหยที่มองเห็นได้ ซึ่งเราจะเห็นในลักษณะเปลวควันและอยู่ในรูปของออกไซด์ของโลหะ และไอระเหยที่มองไม่เห็นซึ่งเป็นส่วนประกอบของแก๊ส เรียกว่าไอระเหยของแก๊ส [5] ซึ่งมาจากแก๊สที่ใช้ในการเชื่อมหรืออาจจะมาจากการสลายตัวของฟลักซ์เนื่องจากความร้อนในการเชื่อมก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นไอระเหยชนิดใดก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อช่างเชื่อมได้ โดยที่ควันและไอระเหยต่างๆ นี้จะลอยขึ้นสู่ด้านบนเนื่องจากความร้อน และอนุภาคขนาดเล็กก็จะลอยอยู่ในอากาศบริเวณที่ทำการเชื่อม และอนุภาคเล็กๆ เหล่านี้สามารถเข้าสู่ทางเดินหายใจของผู้ที่ปฏิบัติงานได้อย่างง่ายดายหากผู้ปฏิบัติงานไม่มีการป้องกันที่ดีพอ
ความอันตรายที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังนี้
- ประเภทของกระบวนการเชื่อมที่ใช้ เช่นการเชื่อมแบบ ฟลักซ์คอร์ หรือการเชื่อมไฟฟ้าโดยใช้ลวดเชื่อมหุ้มฟลักซ์ เป็นต้น
- ชนิดของลวดเชื่อมที่ใช้
- สีเคลือบหรือสารเคลือบผิว รวมถึงคราบน้ำมัน จารบี ที่ตกค้างอยู่บนชิ้นงานเชื่อม
- ลักษณะการระบายอากาศ
- ชนิดของโลหะที่ทำการเชื่อม เช่น การเชื่อมสแตนเลสจะก่อให้เกิดไอระเหยของโครเมี่ยมและนิคเกิล ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหืดหรือมะเร็ง โดยเฉพาะโครเมี่ยมสามารถทำให้เกิดไซนัสและโพรงจมูกเป็นรู ส่วนธาตุแมงกานีสที่มีอยู่ในเหล็กกล้าคาร์บอนสามารถทำให้เกิดโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) ** เมื่อทำการเชื่อมเหล็กกล้า [3,4]
ควันและไอระเหยที่เกิดขึ้นสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้ [2]
ผลระยะสั้น เมื่อได้รับปริมาณไอระเหยมากเกินไปจะมีอาการดังนี้
- อาการไข้เนื่องจากไอระเหยของโลหะ (Metal fume fever) เกิดขึ้นในผู้ที่รับไอระเหยของออกไซด์สังกะสี (Zinc oxide fume) มากเกินไป อาการที่เกิดขึ้นจะคล้ายกับอาการของไข้หวัดใหญ่ โดยปกติจะเกิดอาการขึ้นหลังจากได้รับไอระเหยไปแล้วหลายชั่วโมง อาจจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เจ็บแสบคอ กระหายน้ำ ปวดกล้ามเนื้อหรืออ่อนเพลีย เจ็บกระเพาะอาหารและลำไส้ คลื่นเหียนอาเจียน อาการเหล่านี้จะบรรเทาลงภายในหนึ่งถึงสามวันหลังจากได้รับไอระเหย และไม่มีผลตกค้าง
- อาการเนื่องจากการได้รับโอโซนมากเกินไป (Exposure to ozone) การเชื่อมโลหะด้วยระบบ MIG หรือ พลาสมา ก่อให้เกิดก๊าซโอโซน และจะเกิดมากในการเชื่อมด้วย TIG [7] หากมีการสูดดมก๊าซนี้มากเกินไปอาจจะมีอาการน้ำมูกไหลมาก ปวดศรีษะ ง่วงนอน เซื่องซึม ระคายเคืองตา หรือระคายเคืองทางเดินหายใจหรืออาจทำให้ทางเดินหายใจ อักเสบได้ หากอาการรุนแรงอาจจะมีของเหลวหรือเลือดคั่งในปอด แต่อย่างไรก็ตามอาการระคายเคืองเหล่านี้อาจจะไม่เกิดทันทีทันใด
- อาการเนื่องจากการได้รับไนโตรเจนออกไซด์มากเกินไป (Exposure to nitrogen oxide) ประกอบด้วยไนตริกออกไซด์ และไนโตรเจนไดออกไซด์ ที่ได้จากการเชื่อมอาร์ค [6] เมื่อได้รับไนโตรเจนออกไซด์จะมีการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจคล้ายกับการได้รับโอโซน มักจะไม่เกิดอาการทันที แต่อาจจะมีผลทำให้มีของเหลวในปอดหรือมีอาการน้ำท่วมปอด ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากหยุดการรับไอระเหย
นอกจากไนโตรเจนออกไซด์แล้ว ในการเชื่อมโลหะยังก่อให้เกิดแก๊สที่เป็นอันตรายอีกหลายชนิด ดังเช่น
คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มักจะใช้ในการเชื่อม MIG ทั่วไป แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นอันตรายหากทำการเชื่อมในที่อับอากาศหรือสถานที่คับแคบซึ่งมีการระบายอากาศไม่พอเพียง แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะเข้าไปแทนที่ออกซิเจน ทำให้บริเวณการเชื่อมนั้นขาดออกซิเจน และสามารถทำให้ช่างเชื่อมหมดสติได้โดยไม่รู้ตัว
คาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) แก๊สชนิดนี้เกิดขึ้นจากการใช้แก๊สปกคลุมเมื่อทำการเชื่อม MIG เช่นกัน และจะมีอยู่ในบริเวณที่ทำการเชื่อม และเมื่อบริเวณนั้นมีการระบายอากาศที่ไม่ดีพอ ช่างเชื่อมจะมีโอกาสได้รับแก๊สนี้ในปริมาณสูง การได้รับแก๊สชนิดนี้มากเกินไปก่อให้เกิดอาการง่วงซึม ปวดศรีษะ อาเจียน และอาจหมดสติได้
ฟอสจีน (phosgene) เป็นแก๊สพิษชนิดรุนแรง ปกติแล้วจะไม่เกิดจากควันที่เกิดจากการเชื่อม แต่จะเกิดขึ้นจากการที่แสงอุลตร้าไวโอเลตที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมทำปฏิกิริยาทางเคมีกับไอระเหยของสารละลายประเภทคลอริเนต ที่อยู่ใกล้กับบริเวณการเชื่อม เช่น น้ำยาไตรโครโรเอทธิลีน, ไตรโครโรอีเธน, หรือ เปอร์โครโรเอทธีลีน การได้รับแก๊สชนิดนี้เป็นเวลานานจะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ หรือหากรุนแรงปอดอาจจะเสียหายได้
ผลระยะยาว เมื่อร่างกายได้รับไอระเหยจากการเชื่อมเป็นเวลานานๆ อาจเกิดผลต่อร่างกายได้ดังนี้ [2]
ผลต่อระบบทางเดินหายใจ อาจเกิดการอักเสบหรือระคายเคืองเรื้อรัง ซึ่งเป็นอาการที่รุนแรงมากกว่าการสูบบุหรี่
ผลต่อระบบประสาท ซึ่งมีผลจากการได้รับไอระเหยของตะกั่วหรือแมงกานีสมากเกินไป
ระบบหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากการได้รับก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ จากการเชื่อม MIG/MAG ก๊าซนี้จะรวมตัวกับฮีโมโกบิลในเลือด ทำให้เลือดมีความสามารถในการพาออกซิเจนลดลง ดังนั้นช่างเชื่อมจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้
อาการผิวหนังอักเสบ สาเหตุจากสารประกอบโครเมี่ยม (IV) จากการเชื่อมสแตนเลส
โรคมะเร็ง มีการพิจารณาเกี่ยวกับสารก่อมะเร็งในไอระเหยที่เกิดจากการเชื่อม และมีข้อมูลว่าช่างเชื่อมมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดมากกว่าบุคคลทั่วไปประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายที่มีสาเหตุจากไอระเหยของโลหะ ดังนี้
ตะกั่ว พบในทองเหลืองบางชนิด เหล็กกล้าผสม โลหะผสมสำหรับงานบัดกรี ตะกั่วมีผลต่อระบบประสาท ระบบเลือด และระบบทางเดินอาหาร แต่อย่างไรก็ตามในช่างเชื่อมจะพบอาการพิษจากตะกั่วน้อย แต่จะพบมากในผู้ที่ปฏิบัติงานตัดหรือเชื่อมงานที่เคลือบสีที่มีส่วนผสมของตะกั่ว เช่น การตัด-ทำลาย โครงสร้างเรือหรือสะพาน
แคดเมี่ยม พบมากในโลหะชุบผิวและลวดเชื่อมเงินผสมบางชนิด (Silver brazing alloy) สามารถก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงได้จากอาการถุงลมโป่งพอง [6] และเกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ หลอดลมอักเสบ โรคปอดอักเสบจากสารเคมี อาการอาจจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับสารไปแล้วหลายชั่วโมง การได้รับแคดเมี่ยมออกไซด์เพียงครั้งเดียวแต่ปริมาณมาก จะก่อให้เกิดอันตรายรุนแรงถึงตายได้ การได้รับพิษจากแคดเมี่ยมเรื้อรังอาจทำให้ปอดและไตเสียหายได้
แมงกานีส พบในเหล็กกล้าผสมและลวดเชื่อมพอกผิวแข็งบางชนิด แมงกานีสอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบประสาทและทางเดินหายใจ การได้รับไอระเหยจากแมงกานีสในการเชื่อมเชื่อม อาจทำให้ปอดอักเสบรุนแรง
หรืออาจเกิดอาการไข้เนื่องจากการได้รับอาการไข้เนื่องจากไอระเหยของโลหะ (Metal fume fever) และมีรายงานว่าพบอาการเกี่ยวกับระบบประสาทและการควบคุมกล้ามเนื้อ ในช่างเชื่อมที่ทำการเชื่อมเหล็กผสมแมงกานีสสูงและเชื่อมในสถานที่อับอากาศ
สังกะสี พบในโลหะบัดกรี ทองเหลือง บรอนซ์ เหล็กชุบสังกะสีหรือที่เรียกว่า เหล็กชุบกัลวาไนซ์ เมื่อทำการเชื่อมจะมีไอระเหยของสังกะสีออกไซด์ หลังจากนั้นหลายชั่วโมง จะมีอาการไข้เนื่องจากไอระเหยของโลหะ มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่จะหายไปเองภายใน 24-48 ชั่วโมง
เหล็ก การเชื่อมโลหะมักก่อให้เกิดเหล็กออกไซด์ และมีลักษณะเป็นอนุภาคเล็กๆ สามารถเข้าสู่ปอดได้โดยผ่านทางการหายใจ หากมีปริมาณมาก อนุภาคของเหล็กออกไซด์จะตกค้างอยู่ในปอด สามารถตรวจพบได้โดยการเอกซ์เรย์ จะเห็นเป็นเม็ดเล็กๆ กระจายอยู่ในปอด อาจทำให้เกิดโรคปอดจากการได้รับฝุ่นผงเหล็กมากเกินไป (siderosis)
โมลิบดีนั่ม พบในโลหะผสมบางชนิด โมลิบดีนั่มก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจและดวงตา เมื่อได้รับในปริมาณมาก
โคบอลต์ พบมากในเหล็กที่ทนความร้อนสูงและเหล็กที่มีความแข็งแรงสูง การสูดดมไอระเหยของโคบอลต์ก่อให้เกิดอาการหายใจเป็นช่วงสั้นๆ ไอและปอดอักเสบ
วาเนเดียม พบในเหล็กผสมบางชนิดและลวดเชื่อมบางชนิด การได้รับไอระเหย โดยเฉพาะกับ pentoxide (V2O5) จะทำให้ระคายเคืองตา ระบบทางเดินหายใจและลำคอ และอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดปอดอักเสบจากสารเคมี
นิคเกิล พบในเหล็กที่ชุบนิกเกิล , ลวดเชื่อมเหล็กกล้าผสมต่ำความแข็งแรงสูง (high-strength low-alloy steel electrodes) และเหล็กสแตนเลส ช่างเชื่อมที่ทำการเชื่อมสแตนเลสอาจจะเกิดอาการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจได้นิกเกิลเป็นสารที่ทำให้เกิดมะเร็งจมูกและปอด
โครเมี่ยม เป็นธาตุผสมที่สำคัญในสแตนเลส และอาจมีในลวดเชื่อมพอกผิวแข็งบางชนิด โครเมท (Chromate) อาจจะพบได้ในควันที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมสแตนเลส หรือควันที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมด้วยลวดเชื่อม chrome-alloy ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ การรับไอระเหยของโครเมี่ยม (VI) มากเกินไปอาจจะก่อให้เกิดโรคผิวหนังหรือหิดได้ ช่างเชื่อมสแตนเลสโดยวิธี MIG จะมีโอกาสได้รับโครเมี่ยม (VI) น้อยกว่าช่างเชื่อมที่ใช้ลวดเชื่อมไฟฟ้าหุ้มฟลักซ์
ฟลูออไรด์ การเชื่อมจะทำให้เกิดฝุ่นของฟลูออไรด์ พบได้ทั้งการเชื่อมแบบการเชื่อมไฟฟ้าด้วยลวดหุ้มฟลักซ์ การเชื่อมแบบฟลักซ์คอร์ และในฟลักซ์ซับเมอร์จ ฟลูออไรด์ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา ระบบทางเดินหายใจ ฟลูออไรด์ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกและเอ็นเพิ่มขึ้นเนื่องจากการสะสมของฟลูออไรด์ แต่ไม่มีรายงานยืนยันว่าเกิดความผิดปกติของกระดูกและเอ็น
ซิลิกอน พบในลวดเชื่อมบางชนิดในรูปของสารประกอบโลหะหรือออกไซด์ หรือทั้งสองอย่างและสามารถอยู่ในรูปของซิลิกอนไดออกไซด์ในฟลักซ์ซับเมอร์จด้วย และอาจะอยู่ในรูปของฝุ่นผงที่ละเอียดในถังฟลักซ์ ซึ่งฝุ่นละอองเหล่านี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้และทำให้เกิดโรคที่เรียกว่า Silicosis ได้
มีรายงานว่า ช่างเชื่อมมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดมากกว่าผู้บริหารหรือเจ้าของโรงงานถึง 40 % เนื่องมาจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน และช่างเชื่อมที่ไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกันไอหรือควันจะได้รับอนุภาคที่เป็นอันตรายประมาณครึ่งกรัมในการทำงาน 8 ชั่วโมง เมื่อคำนวณแล้วจะพบว่าใน 1 ปี จะมีอนุภาคเล็กๆ ที่เข้าสู่ร่างกายถึง 100 กรัม และหากทำงานลักษณะนี้ไป 25 ปี ก็จะมีอนุภาคที่เข้าสู่ร่างกายถึง 2.5 กิโลกรัม !!! [7] และหากเป็นบุคคลที่สูบบุหรี่ก็จะมีอัตราเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก
The American Conference of Governmental Industrial Hygienists (ACGIH) กำหนดไว้ว่า ไอระเหยที่เกิดจากการเชื่อมนั้น จะต้องมีค่า threshold limit value (TLV) ไม่มากกว่า 5 มิลลิกรัมต่อลูกบาศ์กเมตร(mg/m3) ต่อการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง [8]
การที่ช่างเชื่อมจะทำงานได้อย่างปลอดภัยนั้น จะต้องหลีกเลี่ยงควันหรือไอระเหยเหล่านั้น ในคู่มือความปลอดภัยหลายๆ เล่มจะกล่าวไว้ง่ายๆ ว่า “ให้พยายามหันศรีษะของท่านออกจากควันและไอระเหย ” นับว่าเป็นวิธีที่พื้นฐานที่สุด แต่ในการทำงานจริงแล้วมักจะปฏิบัติได้ยาก เนื่องจากช่างเชื่อมจะต้องมองดูแนวเชื่อมตลอดเวลาที่ทำการเชื่อม และจากธรรมชาติของควันที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ ย่อมจะลอยขึ้นสู่ด้านบน และจะต้องผ่านบริเวณใบหน้าของผู้ที่ทำการเชื่อมอย่างเลี่ยงไม้ได้
ในโรงงานอุตสาหกรรม หรือโรงงานเชื่อมประกอบโครงสร้างเหล็กต่างๆ มักพบว่าช่างเชื่อมจะใช้วิธีป้องกันตนเองด้วยการใช้ผ้าปิดบริเวณปากและจมูกหรืออาจจะใช้ที่ครอบจมูกเพื่อป้องกันกลิ่นเท่านั้น แต่หากท่านลองสังเกตดูโดยการส่องมองกับแสงจะพบว่าผ้าที่ท่านใช้นั้นจะมีช่องว่างเล็กๆ ระหว่างใยผ้ามากมาย และเมื่อเทียบกับขนาดของไอระเหยที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมที่มีขนาดเล็กจนกระทั่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแล้ว ขนาดของไอระเหยจะมีขนาดเล็กกว่ามากมายหลายเท่า ดังนั้นไอระเหยจึงสามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายของท่านผ่านทางช่องระหว่างใยผ้าได้อย่างง่ายดาย
ในปัจจุบันได้มีผู้ผลิตอุปกรณ์เพื่อป้องกันอันตรายจากไอระเหยที่เกิดขึ้นจากการเชื่อม ซึ่งสามารถกรองฝุ่นควันและไอระเหยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยประกอบชุดกรองอากาศเข้ากับหน้ากากเชื่อมที่สามารถปรับแสงได้โดยอัตโนมัติ ดังแสดงไว้ในรูปที่ 1 ชุดกรองอากาศนี้มีขีดความสามารถในการกรองอากาศได้ถึง 50 เท่า หมายความว่า หากบริเวณการทำงานนั้นมีการวัดไอระเหยหรือควันที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมได้เท่ากับ 250 มิลลิกรัมต่อลูกบาศ์กเมตร (250 mg/m3) และมีข้อกำหนดว่าไอระเหยที่เกิดจากการเชื่อมนั้น จะต้องมีค่า threshold limit value (TLV) ไม่มากกว่า 5 มิลลิกรัมต่อลูกบาศ์กเมตร(mg/m3) ต่อการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง [8] ดังนั้นเครื่องกรองอากาศที่ใช้จะต้องมีความสามารถในการกรองอากาศเสียเป็นอากาศดี ไม่น้อยกว่า 50 เท่า ( 250 mg หารด้วย 5 mg ) [7]
อุปกรณ์กรองอากาศนี้จะมีไส้กรองที่สามารถถอดเปลี่ยนได้เมื่อหมดอายุ และมีมอเตอร์พัดลมสำหรับเป่าอากาศที่บริสุทธิ์เข้าสู่หน้ากากเชื่อม ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าช่างเชื่อมจะรับอากาศที่บริสุทธิ์ตลอดการทำงาน
นอกจากนั้นอุปกรณ์นี้ยังเป็นหน้ากากเชื่อมที่สามารถปรับแสงได้โดยอัตโนมัติ เมื่อไม่มีการเชื่อมเลนส์จะทำหน้าที่เหมือนแว่นตากันแดด ช่างเชื่อมจะมองเห็นได้เป็นปกติ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีแสงเชื่อมมากระทบ เลนส์จะปรับความเข้มเพื่อให้สามารถกรองแสงเชื่อมได้โดยทันที นอกจากนั้นยังสามารถปรับเลือกระดับความเข้มของเลนส์ได้อีกด้วย
จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์นี้นอกจากจะป้องกันอันตรายจากควันและไอระเหยแล้ว ยังสามารถป้องกันอันตรายจากแสงที่เกิดจากการเชื่อมได้อีกด้วย นับว่าได้ประโยชน์มากที่เดียว ท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า การที่ช่างเชื่อมคนหนึ่งจะพัฒนาฝีมือถึงขั้นที่สามารถเชื่อมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจะต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากมาย หากนายจ้างไม่สนใจที่จะป้องกันหรือดูแลบุคคลเหล่านั้น เมื่อพวกเขาเจ็บป่วยไม่สามารถทำงานได้เมื่อใด เมื่อนั้นงานของท่านก็จะหยุดชะงักลง และท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา หรือไม่ก็ต้องเสียเวลาหาคนทดแทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…
** Parkinson’s disease **
หมายถึงอาการของโรคที่เกิดความผิดปกติของสมอง หรือเนื่องมาจากเนื้อสมองบางส่วนได้รับความเสียหายหรือเซลล์ประสาทในสมองที่ควบคุมการเคลื่อนที่ของกล้ามเนื้อเสื่อมลง อาการสั่นเทา เดินหรือเคลื่อนที่ลำบาก ความสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อผิดปกติ [9]
ข้อมูลอ้างอิง
- http://www.ccohs.ca/
- http://www.nohsc.gov.au
- http://manganismfyi.com/
- http://www.cdc.gov/
- http://www.mmu.ac.uk/
- AWS, Welding Fumes and Gases Welding Journal September 2002 , USA.
- Hornel Int. A practical guide to welding respirator protection
- http://www.osha-slc.gov
- http://health.yahoo.com/health/dc/000755/0.html