♦ ขบวนการตัดด้วยแก๊สออกซิเจน
Oxygen Cutting
Oxygen cutting (OC) เป็นประเภทของการตัดที่ใช้ในการกำจัดเนื้อวัสดุที่หลอมละลายเมื่อได้รับอุณหภูมิสูงที่เกิดจากปฏิกิริยาคายความร้อนระหว่างออกซิเจนและชิ้นงานที่ตัด ในกรณีที่เราใช้ตัดวัสดุที่มีความสามารถในการต้านทานการเกิดออกซิไดซ์ได้ดี จำเป็นต้องเติม flux ของสารเคมีหรือผงโลหะเข้าไปช่วย OC มีหลายประเภทได้แก่ Oxyfuel gas , Oxygen arc, Oxygen lance, Chemical flux และ Metal Powder Cutting
Oxyfuel Gas Cutting (OFC)
OFC เป็นกระบวนการกำจัดเนื้อโลหะที่ได้รับความร้อนจากปฏิกิริยาทางเคมีระหว่าง ออกซิเจนและโลหะที่ถูกตัดที่อุณหภูมิสูง และใช้เปลวไฟของแก๊สเชื้อเพลิงที่เผาไหม้กับออกซิเจนในการรักษาระดับของอุณหภูมิไว้ ในกรณีที่ตัดโลหะที่มีความสามารถในการต้านทานการเกิด Oxidation ได้ดี จะมีการเติม Chemical Flux หรือผงโลหะเข้าไปในกระแสของออกซิเจน
หัวตัด OFC มีความสะดวกในการใช้งานและสามารถใช้ตัดแผ่นโลหะได้หนาถึง 2 m สามารถตัดได้เร็ว , ขอบของงานที่ตัดมีคุณภาพดี และมีราคาไม่แพง
หลักการทำงาน
OFC จะใช้หัวตัดซึ่งปลายมีลักษณะเป็นคอคอด (Nozzle) โดยหัวตัดจะทำหน้าที่ให้ความร้อนเพื่ออุ่นชิ้นงาน (Preheat) โดยใช้เปลวไฟจากส่วนผสมของแก๊สเชื้อเพลิงและออกซิเจน จนทำให้ชิ้นงานเริ่มหลอมเหลวและเป่าโลหะที่หลอมเหลวออกไป ลักษณะหัวตัดแสดงในรูปที่ 1 และรูปที่ 2 ที่ปลายของหัวตัดจะมีรูอยู่รอบๆ เพื่อให้เปลวไฟออก ส่วนรูตรงกลางจะใช้สำหรับป้อนออกซิเจน
Kerf
ในกระบวนการ OC ขนาดความกว้างของส่วนที่เนื้อโลหะถูกตัดออกไปถูกเรียกว่า “Kerf” แสดงในรูปที่ 3 Kerf นี้จะใช้เป็นตัวระบุคุณภาพของการตัดซึ่งจะประกอบด้วยขนาดและความเป็นคมของขอบที่ถูกตัด
ในกระบวนการ OFC ความกว้างของ Kerf จะขี้นอยู่กับ ขนาดรูของออกซิเจน, ชนิดของปลายหัวตัด (Tip) ที่ใช้ , ความเร็วในการตัด , อัตราการไหลของออกซิเจน และ ชนิดของแก๊สเชื้อเพลิงที่ใช้
ในกรณีที่ชิ้นงานมีความหนาเพิ่มขึ้น จะต้องใช้อัตราการไหลของออกซิเจนมากขึ้น และขนาดของปลายหัวตัดใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับอัตราการไหลที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นจึงทำให้ความกว้างของ Kerf มากขึ้น ค่าความกว้างของ Kerf เป็นค่าที่ต้องระบุในแบบต่างๆ โดยทั่วไป สำหรับแผ่นที่มีความหนามากถึง 50 mm ยอมให้เพิ่มขึ้นได้(+0.4 mm)
Drag
เมื่อเราปรับพารามิเตอร์ที่หัวตัดจนกระทั่งลำของออกซิเจนเริ่มทะลุจากด้านบนจนออกที่ด้านล่างของ Kerf เราเรียกว่าตำแหน่งดังกล่าวว่า “Zero Drag” ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวจะเริ่มทำการเคลื่อนที่หัวตัดเพื่อทำการตัดโลหะ ถ้าหากเราเพิ่มความเร็วในการตัดหรือลดอัตราการไหลของออกซิเจนลงจะทำให้ปริมาณของออกซิเจนที่จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับโลหะในบริเวณด้านล่างของแผ่นโลหะลดลง จะทำให้พื้นที่ด้านล่างของแผ่นโลหะขาดช้ากว่าด้านบนอันเนื่องมาจากการเกิดปฏิกิริยาในบริเวณดังกล่าวมีค่าต่ำกว่า ดังนั้นเห็นลำของออกซิเจนที่ทะลุออกมาด้านล่าง อยู่ในแนวเยื้องกับด้านบน หรือเกิดตามหลังในทิศทางของการตัด เราเรียกระยะเยื้องดังกล่าวว่า “Drag”
โดยทั่วไปจะแสดงค่าของ Drag ในรูปเปอร์เซ็นต์ของความหนาของชิ้นงานที่ถูกตัด เช่น Drag 10% หมายถึงแนวการตัดชิ้นงานที่สมบูรณ์ที่ด้านล่างมีระยะห่างจากด้านบนตามแนวทิศทางการตัด 10% ของขนาดความหนาของชิ้นงาน
ในกรณีที่เราเพิ่มความเร็วในการตัดมากขึ้นโดยไม่มีการเพิ่มปริมาณออกซิเจนทำให้ Drag มีค่ามากขึ้นซึ่งจะทำให้คุณภาพของการตัดลดลง
“Reverse Drag” จะเกิดขึ้นเมื่อมีการป้อนออกซิเจนเข้าไปมากเกินไปหรือความเร็วในการตัดต่ำเกินไปซึ่งจะทำให้คุณภาพของการตัดไม่ดี
ปฏิกิริยาทางเคมีของ OC
OC นี้จะอ้างอิงโดยใช้ปฏิกิริยาของออกซิเจนบริสุทธิ์กับเหล็กเมื่ออุณหภูมิเผาไหม้สูงกว่า 870 oC ซึ่งเหล็กจะเกิดการออกซิไดซ์อย่างรวดเร็วกับออกซิเจนเกิดปฏิกิริยาดังนี้
- Fe + O ? FeO + 247 kJ : ปฏิกิริยาที่ 1
- 3Fe + 2O2 ? Fe3O4 + 1120 kJ : ปฏิกิริยาที่ 2
- 2Fe + 1.5O2 ? Fe2O3 + 825 kJ : ปฏิกิริยาที่ 3
การตัดโดยทั่วไปจะเป็นปฎิกริยาที่ 3
สำหรับการปฎิบัติงานจริงค่าความหนาจริงที่จะตัดได้จะมีค่าน้อยกว่าค่าความหนาทางทฤษฎีประมาณ 40 mm เนื่องจากว่าต้องใช้ออกซิเจนไปในการเป่าไล่เศษโลหะที่หลอมเหลวออกไป
ออกซิเจน
ค่าความบริสุทธ์ของออกซิเจนที่ใช้ควรมีค่ามากกว่า 99.5 % การลดความบริสุทธิ์ของออกซิเจนลงจะทำให้ประสิทธิภาพของการตัดลดลง เช่น การลดความบริสุทธิ์ของออกซิเจนลง 15% จะสิ้นเปลืองปริมาณในออกซิเจนในการตัด 25% คุณภาพการตัดจะไม่ดีและสะเก็ดจากการตัดจะเกาะแน่นมากขึ้นและถ้าความบริสุทธิต่ำกว่า 95% จะเกิดการหลอดละลายรวมกันจนบริเวณที่ตัดไม่สามารถใช้งานได้
เชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับการ Preheat
เปลวไฟที่ใช้สำหรับการ Preheat เพื่อเตรียมการการตัดจะทำหน้าที่ดังนี้
- เพิ่ม Temp ของโลหะจนถึงจุดติด (Ignition Point)
- เพิ่มปริมาณความร้อนให้แก่ชิ้นงานเพื่อให้ปฏิกิริยาเกิดได้ดี
- เป็นตัวป้องกันไม่ให้ออกซิเจนทำปฏิกิริยากับบรรยากาศ
- กำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น สนิม, สี, สะเก็ด, ออกไป
สำหรับการตัดที่ต้องการคุณภาพสูง ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ความร้อนสำหรับการ Preheat ที่สูงมาก ดังนั้นในเครื่องตัดส่วนใหญ่จะมีระบบควบคุมแก๊ส 2 ระบบคือ ให้ความร้อนที่มีความเข้มสูงในตอนเริ่มต้นทำการตัดและจะลดความเข้มลงในขณะทำการตัด เพื่อประหยัดเชื้อเพลิงและออกซิเจน นอกจากนั้นยังให้พื้นผิวที่ถูกตัดมีคุณภาพดีขึ้นด้วย
โดยทั่ว ๆ ไป เชื้อเพลิงต่างๆ ที่นำมาใช้กับออกซิเจนมีคุณสมบัติดังแสดงในตารางที่ 1
ตารางที่ 1 คุณสมบัติของแก๊สเชื้อเพลิง
การเลือกใช้เชื้อเพลิง
ปัจจัยที่จะใช้ในการเลือกชนิดของเชื้อเพลิงสำหรับการ Preheat มีดังนี้
- เวลาที่ใช้ในการให้ความร้อน
- ผลกระทบที่จะเกิดกับความเร็วในการตัด,รูปร่างและการเซาะร่อง
- ผลกระทบต่อชิ้นงาน
- ค่าใช้จ่าย /หน่วยของเชื้อเพลิง
- ค่าใช้จ่ายของออกซิเจนที่ใช้ในการ Preheat
- เชื้อเพลิงนี้สามารถใช้ในกระบวนการอื่นๆที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่
- ความปลอดภัยในการใช้งานและการเก็บรักษารวมทั้งการขนส่ง
อะเซทีลีน
อะเซทีลีนถูกใช้แพร่หลายเพื่อเป็นเชื้อเพลิงสำหรับ OC นอกจากนั้นยังใช้ในกระบวนการเชื่อมด้วยเนื่องจากเปลวไฟให้อุณหภูมิที่สูง โดยการเผาไหม้ของอะเซทีลีนจากออกซิเจนจะให้เปลวไฟที่สั้นและบริเวณโคนด้านในมีความสว่าง โดยจุดที่ร้อนที่สุดจะอยู่ที่ปลายสุดของกรวย และการเผาไหม้จะสมบูรณ์ที่ด้านนอกของเปลวไฟ เราสามารถใช้ลักษณะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของเปลวไฟทั้งสอง ในการปรับอัตราส่วนระหว่างออกซิเจนและอะเซทีลีนเพื่อให้ได้เปลวไฟตามที่ต้องการดังรูปที่ 4 ได้แก่
“ Carburizing Frame”
จะใช้อัตราส่วนของออกซิเจนต่ออะเซทิลีนประมาณ 1:1 ซึ่งจะใช้ในงานตัดด้วยมือ ในกรณีที่มีลดอัตราการไหลของออกซิเจนลงจะทำให้จุดเริ่มต้นของเปลวไฟสว่างขึ้นซึ่งจะเห็นว่าแสดงว่าขนาดของเปลวไฟจะลดลง ซึ่งบางครั้งใช้ในการตัดเหล็กหล่อ
ในกรณีที่ใช้ออกซิเจนมากกว่าปกติ เปลวไฟด้านในจะสั้นลงและมีความเข้มมากขึ้นซึ่ง อุณหภูมิของเปลวไฟจะสูงสุดที่อัตราส่วน ออกซิเจนกับอะเซทิลีน ประมาณ 1.5 : 1
“Oxidizing trame”
ใช้สำหรับช่วง Preheat และการตัดวัสดุที่หนามาก ๆ อุณหภูมิของเปลวไฟที่สูงนี้จะใช้สำหรับการเซาะร่อง ในการใช้งานอะเซทิลีนนั้นควรควบคุมค่าของความดันไม่เกิน 15 Psig ถ้าหากใช้ที่ความดันสูงกว่านี้จะไม่เสถียร
Methylacctylene – Propadienc Stabilized (MPS)
MPS คือ ส่วนผสมของไฮโดรคาร์บอนหลายชนิด ซึ่งเมื่อเกิดการเผาไหม้จะให้อุณหภูมิที่สูงในเปลวไฟเริ่มแรก การเกิด Neutral flame จะใช้ MPS:Oxygen 1 : 2.5 และ อุณหภูมิของเปลวไฟจะมากที่สุดที่ 1:3.5 ข้อได้เปรียบของ MPS คือใช้ในการตัดใต้ผิวน้ำได้ลึกกว่า เนื่องจากก๊าซอะเซทิลีนจะใช้ได้ที่ความลึกไม่เกิน 6 m จากผิวน้ำ เนื่องจากใช้ความดันได้ไม่เกิน15 Psig
แก๊สธรรมชาติ
จะมีส่วนประกอบแตกต่างกันไปตามแหล่งกำเนิด ซึ่งส่วนประกอบหลักจะได้แก่ มีเทน (CH 4) สำหรับ Neutral flame ค่าอัตราส่วนของแก๊สธรรมชาติ : ออกซิเจน 1.5 : 1 ซึ่งจะมีอุณหภูมิของเปลวไฟต่ำกว่าอะเซทิลีน และมีความเข้มต่ำกว่าด้วย แต่ลักษณะของ Flame ทั้ง 3 แบบ มีลักษณะไม่แตกต่างจากอะเซทิลีน มากนัก
โพรเพน
มีการใช้มากในโรงงานต่าง ๆ เนื่องจากหาง่ายและให้ค่าความร้อนสูงกว่า แก๊สธรรมชาติ (ดังตารางที่ 1) ในการเผาไหม้นั้นจะใช้อัตราส่วน 4 – 4.5 : 1 มีสถานะเป็นของเหลวและสามารถขนส่งได้ง่าย
โพรพิลีน (Propylene)
จะใช้ที่อัตราส่วน 2.6:1 สำหรับ neutral flame และ 3.6:1 สำหรับ tempสูงสุดของเปลวไฟ
ข้อดีและข้อเสีย
OFC มีข้อดีและข้อเสียเมื่อเปรียบเทียบกับการตัดโลหะประเภทอื่น งานตัดโดยเลื่อย , งานกัด และการตัดโดยการอาร์ค
ข้อดี
- ตัดได้เร็ว
- ใช้ในการตัดรูปร่างที่ซับซ้อนที่ตัดโดยวิธีอื่นได้ยาก
- อุปกรณ์ OCF ที่ใช้มือตัดมีราคาต่ำกว่าเครื่องมือชนิดอื่น
- ง่ายต่อการพกพา
- ในการตัดสามารถเปลี่ยนทิศทางในการตัดได้รวดเร็วโดยใช้รัศมีต่ำ
- สามารถตัดชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ได้โดยการเคลื่อนที่ของหัวตัด
- ใช้สำหรับเตรียมขอบของแผ่นโลหะ , เซาะร่อง สำหรับการเชื่อม
ข้อเสีย
- ให้ค่าความแม่นยำกว่าการใช้เครื่องมือ (Machine tool)
- มีข้อจำกัดสำหรับการตัดโลหะบางประเภท เช่นเหล็กกล้าและเหล็กหล่อ
- เปลวไฟจากการตัดและเศษโลหะที่กระเด็นออกมาอาจเกิดไฟไหม้ได้
- ต้องมีระบบควบคุมควันพิษและระบบระบายอากาศที่ดี
- บริเวณที่ได้รับการตัดอาจจำเป็นต้องผ่านกรรมวิธีทางความร้อนเพื่อเพิ่มความแข็ง
- ควรมีการเพิ่มขั้นตอนพิเศษในการตัดสำหรับโลหะผสมสูง (High alloy steel) และเหล็กหล่อ
อุปกรณ์ OFC ชนิดพื้นฐานมี 2 ชนิด คือ แบบตัดด้วยมือและใช้เครื่องตัด ชนิดตัดด้วยมือ จะประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้
- หัวตัด
- ปลายหัวตัด (Cutting Tips) เพื่อตัดวัสดุที่ความหนาต่าง ๆ กัน
- ท่อแก๊สและเชื้อเพลิง
- ตัวควบคุมความดัน
- ถังแก๊สและถังเชื่อม
- อุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น แว่นตา , ถุงมือ , เสื้อผ้ากันความร้อน
- คู่มือการใช้งานจากผู้ผลิต
หัวตัดมีหน้าที่ดังนี้
- ควบคุมอัตราการไหลและส่วนผสมของเชื้อเพลิงและออกซิเจน
- ควบคุมอัตราการไหลของออกซิเจน
- จ่ายแก๊สผ่านปลายหัวตัดให้เพียงพอต่อการ Preheat และการตัด ซึ่งการควบคุมจะทำโดยผู้ใช้งานและการออกแบบหัวตัดและปลายหัวตัด โดยหัวตัดจะมีหลายขนาดขึ้นอยู่กับความหนาของชิ้นงานที่ต้องการตัด ส่วนปลายหัวตัดจะขึ้นกับชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ และประเภทของงานที่จะตัด
หัวตัดมี 2 ประเภท คือ
- Mixing type ออกซิเจนและเชื้อเพลิงสำหรับการ Preheat จะได้รับการผสมกันที่ภายในปลายหัวตัด (Tip)
- Premix Type ส่วนผสมจะได้รับการผสมกับภายในหัวตัดซึ่งแยกเป็น 2 ประเภท คือ
- Positive Pressure Type จะใช้กับแก๊สที่มีแรงดันสูงที่สามารถส่งเข้าสู่หัวตัดได้เอง
- Low Pressure Type หรือ Injector Type ใช้กับแก๊สที่มีแรงดันต่ำกว่า 2 Psig เช่น แก๊สธรรมชาติ โดยแก๊สจะถูกดึงผ่านคอคอด (Ventury)
หัวตัดทั้ง 2 ประเภทแสดงในรูปที่ 1 ผู้ผลิตบางรายได้ออกแบบตัวผสม (mixer) เพื่อให้สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งแรงดันต่ำและแรงดันสูง ซึ่งตัวผสมดังกล่าวถูกเรียกว่า “Universal pressure Mixer”
ปลายหัวตัด(manual cutting tips)
ปลายหัวตัด ถูกผลิตจากทองแดงผสมอัลลอยด์ ซึ่งจะมีหลายขนาดและหลายชนิดซึ่งจะถูกยึดที่ปลายหัวตัดด้วยน็อต ที่ปลายหัวตัดจะมีรูเล็ก ๆ สำหรับพ่นเปลวไฟ สำหรับการ Preheat โดยจะอยู่รอบรู Orifice ของออกซิเจน ขนาดของรูทั้งสองถูกออกแบบให้เหมาะสมกับโลหะความหนาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- ปลายหัวตัดแบบมาตรฐาน (Standard cutting tip) จะมีรูจ่ายออกซิเจน ลักษณะท่อที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางภายในคงที่ ซึ่งจะให้ออกซิเจนที่ความดัน 30-60 PSI
- ปลายหัวตัดแบบความเร็วสูง (High speed cutting tip) จะมีลักษณะของท่อเป็นแบบแคบไปกว้าง (Divergence) ออกซิเจนซึ่งจะใช้ออกซิเจนที่ความดัน 60-100 psi โดยออกซิเจนจะวิ่งด้วยความเร็วสูงมาก (Supersonic Velocity) ซึ่งปลายหัวตัดชนิดนี้จะใช้กับเครื่องตัดเท่านั้น สำหรับความเร็วในการตัดโดยใช้ปลายหัวตัดแบบความเร็วสูง ควรใช้ที่ความเร็วในการตัดมากกว่าปลายหัวตัดแบบมาตรฐาน 20 %
โดยลักษณะของปลายหัวตัดแสดงในรูป 5. ขนาดของรูจ่ายออกซิเจนจะต้องถูกออกแบบให้เหมาะสมกับชนิดของเชื้อเพลิง ในขณะเดียวกันรูจ่ายเปลวไฟสำหรับการ Preheat จะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับชนิดของเชื้อเพลิงด้วยและสามารถให้ความร้อนสำหรับการ Preheat ที่เพียงพอด้วย
ปลายหัวตัดจะมี 2 ประเภทคือ แบบชิ้นเดียวและแบบสองชิ้น ปลายหัวตัดถือเป็นอุปกรณ์สิ้นเปลืองและจะมีผลต่อประสิทธิภาพในการตัด ดังนั้นการบำรุงรักษาที่ดีจะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพในการตัดให้คงที่ ในการบำรุงรักษาควรมีการเอาสะเก็ดต่าง ๆ ที่สะสมในช่องออกซิเจนและช่อง Preheat ออก เพื่อให้การตัดมีประสิทธิภาพที่ดี
ตัวควบคุมความดัน
การตัดที่ดีนั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับการเลือกหัวตัด, ชนิดของเชื้อเพลิง, ปลายหัวตัดที่เหมาะสมแล้ว การเลือกตัวควบคุมความดันก็มีความสำคัญ ในการเลือกใช้ควรจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับชนิดของแก๊สและความดันที่ใช้งาน
ระบบท่อ
ท่อนำออกซิเจนและGas เชื้อเพลิง สำหรับ OFC จะเหมือนกับ OFW
อุปกรณ์อื่นๆ
เช่นอุปกรณ์ความปลอดภัยต่างๆ ต้องมีการใช้งานในขณะปฏิบัติงาน
อุปกรณ์ทางกล
ปะกอบด้วย
1. เครื่องจักรสำหรับใช้ในการเคลื่อนที่หัวตัดเพื่อตัดชิ้นงานในรูปแบบต่างๆ
2. หัวจับหัวตัด (Torch Mounting) ต้องสามารถปรับตั้งได้
3. แท่นวางชิ้นงานที่ใช้ตัด
4. อุปกรณ์ช่วยในการยกแท่น
5. อุปกรณ์ช่วยในการจุดไฟสำหรับการ Preheat แบบอัตโนมัติ สำหรับกรณีเครื่องที่มีหลายหัวตัด
หัวตัดชนิดที่ใช้กับตัวเครื่อง (Machine Torch)
มีลักษณะแสดงในรูปที่ 7 โครงสร้างโดยทั่วๆไปจะคล้ายกับแบบมือจับ แต่ที่ลำตัวของหัวตัดนี้จะมีการติดตั้งเฟืองสะพาน (Rack) เพื่อให้สามารถปรับหัวสูงและต่ำได้ หัวตัดชนิดที่มีท่อเข้า 2 ท่อ และ 3 ท่อ โดยชนิดที่มีท่อเข้า 2 ท่อจะประกอบด้วยท่อเชื้อเพลิงและท่อออกซิเจน ส่วนชนิดที่มีท่อเข้า 3 ท่อ จะประกอบด้วย เชื้อเพลิง , ออกซิเจนสำหรับ Preheat , ออกซิเจนสำหรับการตัด (จะมีตัวควบคุมความดันของออกซิเจน สำหรับตัดและสำหรับ Preheat แยกกัน)
ปลายหัวตัดชนิดใช้กับเครื่อง
ถูกออกแบบมาให้ใช้แรงดันได้สูงกว่าแบบ Manual ซึ่งจะใช้แบบ 2 ชิ้น และท่อแบบ Divergent ซึ่งจะช่วยในการเพิ่มความเร็วของออกซิเจนเมื่อออกจาก Nozzle โดยใช้ตัดได้ที่ความหนาถึง 6 นิ้ว (150 mm) และไม่ควรตัดที่ความหนามากกว่า 10 นิ้ว (250 mm)
ตัวควบคุมความดัน
ในกรณีที่ใช้แก๊สธรรมชาติหรือโพรเพนในการ Preheat สำหรับการใช้เครื่องตัดจะมีการติดตั้งตัวควบคุมความดันแบบแรงดันสูงและต่ำรวมอยู่ในตัวเดียวกัน เนื่องจากแก๊สชนิดนี้มีค่าความร้อนต่ำดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้อัตราการไหลที่มากขึ้น ในการ Preheat และใช้อัตราการไหลลดลงในขณะทำการตัดและเพื่อประหยัดค่าเชื้อเพลิง
รูปแบบการใช้งาน
OFC แบบ Manual จะใช้ตัดชิ้นงานที่มีค่าพิกัดความเผื่อ 0.8 – 1.6 mm ที่ความหนา 3 -2,100 mm
วิธีปฏิบัติงานต่าง ๆ
ในการใช้งานอุปกรณ์ OFC ควรจะต้องมีการศึกษาวิธีการประกอบและการใช้งานจากผู้ผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดจากอุปกรณ์ และเพื่อให้แน่ใจว่าใช้ได้อย่างถูกต้องและมีความปลอดภัย ดังนี้
ตัวควบคุมความดัน
ควรมีการทำความสะอาดตัวควบคุมความดันของแก๊สและเชื้อเพลิงให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ถ้าหากมีคราบน้ำมัน , จารบี หรือสิ่งแปลกปลอม ในกรณีที่อุปกรณ์ชำรุดควรมีการซ่อมแซมก่อนการใช้งานโดยผู้ที่มีความชำนาญ นอกจากนั้นท่อส่งควรจะอยู่สภาพที่ดีเพื่อให้สามารถจ่ายแก๊สและเชื้อเพลิงได้เพียงพอตามความต้องการของหัวตัด
Flashback และ Back Fire
Flashback คือการเผาไหม้ของเปลวไฟภายในหรือหลังห้องผสมของหัวตัด ซึ่งไม่ควรให้เกิดสภาวะดังกล่าว ในกรณีที่เกิดขึ้นให้ทำการปิด Value ออกซิเจนของหัวตัด และ Value ของเชื้อเพลิงทันที สำหรับสาเหตุของการเกิด จากการปรับให้ส่วนผสมที่ไม่มีความสมดุล ซึ่งทำให้เปลวไฟที่ติดอยู่ที่ปลายหัวเชื่อม ย้อนกลับตามก๊าซ เข้าสู่หัวเชื่อม และระเบิดอยู่ภายในหัวเชื่อม หรือที่เรียกว่า แฟลชแบ็ก (Flashback) หรืออาจเกิดจากปลายหัวตัดที่มีความร้อนสูง
Backfire คือสภาวะที่ไฟเกิดการอ่อนตัวลงของเปลวไฟชั่วขณะในขณะที่ไหลเข้าสู่ปลายหัวตัด สำหรับวิธีแก้ไขควรทำการซ่อมหรือทำความสะอาดหัวตัดและ/หรือปลายหัวตัด
การใช้งานหัวตัด
วิธีปฏิบัติที่นิยมใช้คือค่อยๆ เปิด Value แก๊สอย่างช้าๆ และทำการจุดแก๊สด้วยตัวจุดประกายไฟ (Spark Lighter) จากนั้นจะทำการปรับแก๊สเชื้อเพลิงจนปลายเปลวไฟมีลักษณะนิ่ง จากนั้นจะทำการเปิดวาส์วของออกซิเจนสำหรับการ Preheat อย่างช้าๆ จนกระทั่งได้เปลวไฟในลักษณะที่ต้องการ สำหรับความเข้มของเปลวไฟสามารถปรับโดยการเพิ่มหรือลดปริมาณแก๊สทั้งสองอย่างช้า ๆ
การปรับแต่งเปลวไฟ
ความร้อนที่ใช้ในการตัดจะขึ้นอยู่กับประเภทของเปลวไฟ ซึ่งเปลวไฟมี 3 ลักษณะ สามารถปรับที่วาล์วของหัวตัดได้ดังนี้
- เปลวไฟแบบ Carburizing ของอะเซทิลีน, MPS , หรือโพรพิลีน สามารถสังเกตได้จากลักษณะของเปลวไฟหลัก จะมีหางหรือมีสีเหลืองส้มที่เปลวไฟรอง และในกรณีที่ใช้เชื้อเพลิงเป็นโพรพิลีน , โพรเทน และแก๊สธรรมชาติ เปลวไฟหลักจะมีลักษณะกลมและยาว เปลวไฟแบบนี้จะทำให้ผิวของวัสดุที่ถูกตัดเรียบ และใช้ในการตัดแผ่นโลหะที่บางที่วางซ้อนๆ กัน
- เปลวไฟแบบ Neutral ของอะเซทิลีน, MPS , หรือโพรพิลีน สามารถสังเกตได้จากเปลวไฟหลัก จะมีลักษณะคมและมืด เปลวไฟรองจะมีสีฟ้าจางๆ นิยมใช้ในการตัดส่วนใหญ่
- เปลวไฟแบบ Oxidizing ของอะเซทิลีน และ MPS สังเกตได้จากเปลวไฟหลักจะมีสีจางและเล็ก เปลวไฟรองจะมีลักษณะและจะมีเสียงคล้ายนกหวีด
ในกรณีที่ใช้ โพรเทน , โพรทีลีน และแก๊สธรรมชาติ เปลวไฟหลักจะยาวกว่าและมีความคมน้อยกว่าและมีสีจางกว่า การตัดแบบนี้จะตัดได้เร็วแต่ให้คุณภาพผิวไม่ดีโดยทั่วๆไปจะใช้ในการเจาะ
ขั้นตอนการปฏิบัติงานสำหรับการตัด
การตัดด้วยมือ (Manual Cutting) จะมีหลายวิธีที่จะใช้โดยเริ่มจากบริเวณขอบของชิ้นงาน
ซึ่งวิธีที่นิยมใช้กันแพร่หลายที่สุดวิธีหนึ่งคือให้จุดกึ่งกลางของเปลวไฟ Preheat อยู่ที่ขอบของชิ้นงาน และให้ฐานของเปลวไฟอยู่เหนือชิ้นงาน 1.5 – 3 mm จนเมื่อขอบด้านบนของชิ้นงานมีสีเหลืองแดง จะเริ่มทำการเปิดวาส์วของออกซิเจนที่ใช้ในการตัดและเริ่มทำการตัด
วิธีที่สอง จะให้ขอบของชิ้นงานอยู่ที่กึ่งกลางเปลวไฟ โดยที่วาล์วออกซิเจนที่ใช้ตัดถูกเปิดไว้แล้ว เมื่อโลหะมีสีเหลืองแดงจะเริ่มทำการเปิดตัด วิธีนี้จะทำให้สิ้นเปลืองออกซิเจนและเริ่มทำการตัดได้ยากกว่าวิธีแรก วิธีนี้ใช้ตัดวัสดุที่บาง ๆ โดยจะใช้เวลาในการ Preheat สั้น
วิธีที่สาม จะให้ปลายของหัวตัดอยู่เหนือวัสดุที่จะทำการตัด และให้ทำการ Preheat จนชิ้นงานมีค่าอุณหภูมิถึงจุด Kindling Temperature จากนั้นโลหะที่หลอมเหลวจะถูกเป่าออกไป
โดยออกซิเจน วิธีนี้จะมีข้อดีคือให้ขอบชิ้นงานที่ตัดเรียบในขณะที่เริ่มทำการตัดในขณะทำการตัดควรมีให้หัวตัดมีการเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ และผู้ตัดควรรักษาระยะระหว่างหัวตัดกับชิ้นงานให้คงที่
ในกรณีที่แผ่นโลหะมีความหนาตั้งแต่ 0.5 นิ้ว ขึ้นไป ควรให้หัวตัดตั้งฉากกับชิ้นงาน และกรณีที่แผ่นโลหะบางสามารถเอียงหัวตัดในขณะตัดได้
?การตัดโดยใช้เครื่อง (Machine Cutting)
การเริ่มและสิ้นสุดกระบวนการจะมีลักษณะเหมือนกับการตัดด้วยมือ อย่างไรก็ตามควรมีการปรับให้ถูกต้องมากขึ้นในกรณีที่ตัดด้วยความเร็วสูงและต้องการคุณภาพของรอบตัดที่ดี ซึ่งสามารถเลือกขนาดของปลายหัวตัดที่ใช้สำหรับตัดโลหะที่ความหนาต่างๆ กันได้จากตารางที่ผู้ผลิตให้มา นอกจากนั้นยังมีค่าจากพารามิเตอร์ต่างๆ เช่น เชื้อเพลิงที่เริ่มใช้, ความดันของออกซิเจน,ความเร็วในการตัด แนะนำไว้ด้วยเช่นกัน ดังแสดงในตารางที่2 นอกจากนั้นการปรับตั้ง Regulator ก็มีความสำคัญต่อประสิทธิภาพของการตัดเช่นกัน
ตารางที่ 2
การตัดแบบงานหนัก (Heavy Cutting)
การตัดแบบนี้จะใช้ตัดวัสดุที่มีความหนามากกว่า 12 นิ้ว (300 mm) ซึ่งวิธีในการตัดจะเหมือนกับการตัดวัสดุที่บาง แต่ในกรณีที่ชิ้นงานมีความหนา 12 – 60 นิ้ว (300 – 1525 mm) จำเป็นต้องใช้หัวตัดชนิดที่ใช้งานหนัก (Heavy – Duty Torch) ซึ่งจะมีการเพิ่มอัตราการไหลของออกซิเจนสำหรับการ Preheat และการตัด ในขณะเดียวกันจะต้องลดความเร็วในการตัดลงเมื่อค่าความหนามีค่าเพิ่มขึ้น
การตัดแบบงานหนักนั้นตัวแปรที่สำคัญที่สุดคือ อัตราการไหลของออกซิเจน ซึ่งค่าแรงดันจะอยู่ในช่วง 10 – 25 psi เมื่อวัดที่หัวตัด โดยทั่วไปนั้นค่าปริมาณออกซิเจนที่ต้องการต่อหนึ่งหน่วยความหนาของวัสดุที่ถูกตัด คือ 80 – 125 FI3/in ( 89 -139 Litre ของออกซิเจน/ mm)
ตารางที่ 3 ค่าความต้องการออกซิเจนที่ใช้สำหรับการตัดแบบใช้งานหนัก
ในกรณีที่ใช้ตัดชิ้นงานโดยหัวตัดอยู่ในแนวราบจำเป็นต้องเพิ่มความดันของออกซิเจนเพื่อช่วยในการเป่าเศษสะเก็ดโลหะออกจากบริเวณที่ทำการตัด
ค่าความเร็วสำหรับการตัดในช่วง 2-6 in/min (0.85 – 2.5 mm/s) จะสามารถในช่วงความหนาต่างๆที่แสดงไว้ในตารางที่ 3 ได้
โดยปกติแล้วการตัดในลักษณะนี้จะเกิดสะเก็ดที่บริเวณผิว ดังนั้นจะมีเทคนิคในการเริ่มต้นตัดแตกต่างจากการตัดวัสดุบาง ซึ่งจะเริ่มตัดโดยใช้ความเร็วที่ช้ากว่า รูปที่ 8 แสดงถึงวิธีการเริ่มตัด
ในรูป (A) จะเป็นวิธีการเริ่มต้นการตัดที่ถูกต้องโดยจะให้เปลวไฟที่ใช้สำหรับการ Preheat กระจายไปยังด้านต่าง ของชิ้นงานด้วย ในรูป (B) ,(C), (D), (E), และ (F) แสดงปัญหาที่เกิดจากวิธีการปฏิบัติงานและไม่ถูกต้อง
โดยทั่ว ๆ ไปแล้วการจะตัดได้อย่างสมบูรณ์ควรจะมีสภาวะต่าง ๆ ดังนี้
- มีแก๊สจ่ายได้เพียงพอที่จะทำการตัดได้ทั้งชิ้นเนื่องจากการเริ่มต้นที่จะทำการตัดใหม่ที่ตำแหน่งภายในชิ้นงานทำได้ยากมาก
- ขนาดของอุปกรณ์ต่าง ๆ มีความแข็งแรงเพียงพอกับการตัดงานแบบหนัก
- ผู้ใช้ต้องมีความชำนาญ
?การตัดแบบซ้อนทับกัน (Stack cutting)
จากข้อมูลในตารางของเครื่อง OFC ค่าความเร็วและแก๊สที่ต้องการจะแสดงในรูปของความหนาของชิ้นงาน โดยที่อัตราความสิ้นเปลืองแก๊สต่อหนึ่งหน่วยความหนาจะลดลงเมื่อความหนาของชิ้นงานมีค่าเพิ่มขึ้น ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการตัดต่อหน่วยความหนาจะลดลงเมื่อเราเพี่มความหนาของชิ้นงานขึ้น
เราสามารถลดค่าใช้จ่ายในการตัดโดยแทนที่จะทำการตัดครั้งละ 1 แผ่น ก็จะใช้วิธีการวางแผ่นโลหะซ้อนกัน วิธีนี้นิยมใช้ในกรณีที่โลหะมีความหนาต่ำกว่า 0.25 นิ้ว ( 6 mm) แต่ไม่ควรเกิน 0.5 นิ้ว (13 MM) เนื่องจากจะเกิดความยุ่งยากในการบีบแผ่นชิ้นงานให้แน่น รูปที่ 10 แสดงลักษณะการตัดแบบซ้อนทับกัน นอกจากนั้นยังสามารถใช้วิธีนี้สำหรับการตัดวัสดุที่มีความหนาต่ำ ๆ ซึ่งไม่สามารถที่จะตัดโดยใช้ OFC แบบธรรมดาได้ โดยทั่วไปนิยมใช้กับวัสดุที่หนาตั้งแต่ 0.9 mm ขึ้นไป วิธีนี้จะใช้แทนการปั้มโลหะซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูง
ในการตัดวิธีนี้จำเป็นต้องมีการทำความสะอาดผิว, สนิม, สี, สะเก็ดต่าง ๆ ออกและต้องมีการบีบแต่ละแผ่นเข้าด้วยกันให้แน่นเพื่อให้ขอบของชิ้นงานที่ตัดมีคุณภาพที่ดี ค่าความหนารวมที่สามารถใช้ได้สำหรับการตัดแบบซ้อนทับกันนี้ถูกกำหนดโดยค่าพิกัดความเผื่อ (Tolerance) ที่ต้องการและความหนาของแผ่นบนสุดดังนี้
- พิกัดความเพื่อประมาณ 0.8 mm ที่ค่าความหนารวมไม่เกิน 50 mm
- พิกัดความเพื่อประมาณ =1.6 mm ที่ค่าความหนารวมไม่เกิน 100 mm
ค่าความหนารวมสูงสุดไม่ควรเกิน 150 mm
ในกรณีที่ความหนารวมน้อยกว่า 5 mm ควรใช้แผ่นโลหะประเภทอื่นที่มีความหนา 6 mm วางด้านบน เพื่อให้ขอบของชิ้นงานที่ต้องการตัดมีคุณภาพที่ดี
การเตรียมขอบของชิ้นงานแบบต่างๆ
ในการเตรียมขอบของแผ่นโลหะเพื่อรองรับการเชื่อมสามารถทำได้โดยวิธี OFC หรือใช้การเซาะร่อง ดังวิธีต่อไปนี้
ขอบลาดเอียง (Plate Bevelling)
เป็นการตัดในลักษณะขอบลาดเอียง สามารถทำได้โดยใช้หัวตัดหัวเดียวหรือหลายหัวเพื่อทำการตัดได้ในครั้งเดียวกัน คุณภาพของรอยตัดจะมีคุณภาพที่ดีในกรณีที่การตัดทำด้วยเครื่อง
เนื่องจากสามารถที่จะควบคุมระยะจากปลายหัวตัดกับชิ้นงานได้แม่นยำ
จากรูป 12 ถ้ามุมเอียงจากแนวดิ่ง (Bevel angle) น้อยกว่า 15o จะเสียพลังงานในการ Preheat น้อยและถ้ามากกว่า 15o จะเสียพลังงานมากขึ้นตามลำดับ ในกรณีที่เราต้องการมุมเอียงมากกว่า 30” และแผ่นโลหะมีความหนามาก ๆ จะต้องใช้ปลายหัวตัดชนิดพิเศษในการตัด
คุณภาพของพื้นผิวที่ทำการตัดจะมีคุณภาพดีในกรณีที่ตัดด้วยความเร็วต่ำ ดังนั้นควรลดความร้อนสำหรับการ Preheat ลงเพื่อป้องกันการหลอมละลายจากด้านบนเข้าสู่บริเวณผิวหน้าของโลหะที่ถูกตัด
รูปที่ 12 ค่าของ A, B จะถูกควบคุมด้วยความหนาของชิ้นงาน, ขนาดของปลายหัวตัดและความเร็วในการตัด ในกรณีที่ค่าของ A และ /หรือ B มีค่ามากเกินไปจะก่อให้เกิดผิวตัดที่หยาบและมีสะเก็ดเกาะที่ผิวด้านล่างของขอบชิ้นงานที่ตัด
การเซาะร่อง (Gouging)
การเซาะร่องโดยใช้ OFC จะนิยมใช้กับโลหะที่มีความหนาไม่เกิน 1 นิ้ว(25 mm) ซึ่งจะใช้ในการเลาะรอยเชื่อมที่บกพร่องออกและนำไปทำการเชื่อมใหม่ การเซาะร่องนั้นโดยปกติจะต้องใช้ปลายหัวตัดชนิดพิเศษที่สามารถให้ความร้อนในการ preheat ได้มาก และรูของออกซิเจนตรงกลางจะต้องทำให้เกิดการไหลของออกซิเจนแบบปั่นป่วน( Turbulence Flow) นอกจากนั้นมีปัจจัยอื่น ๆ ที่จะกำหนดรูปร่างของร่อง ได้แก่ ความเร็วในการตัด , มุมของปลายหัวตัด, ความดัน, ปริมาณความร้อนที่ใช้ Preheat และขนาดของปลายหัวตัด
การตัดใต้ผิวน้ำ (Underwater Cutting)
การตัดใต้ผิวน้ำที่นิยมใช้กันมี 2 ประเภทคือ OFC และ OAC หัวตัดที่ใช้ตัดใต้ผิวน้ำนั้นเชื้อเพลิงและออกซิเจนจะถูกผสมเข้าด้วยกันและเผาไหม้เพื่อเกิดเป็นเปลวไฟสำหรับการ Preheat และใช้ออกซิเจนในการเป่าโลหะที่หลอมละลายออกไป นอกจากนี้หัวตัดจะมีการจ่ายอากาศอัดให้เป็นฟองบริเวณรอบ ๆ ปลายหัวตัด เพื่อช่วยให้เปลวไฟสำหรับการ Preheat มีความสม่ำเสมอและไล่น้ำออกไปจากบริเวณที่ตัด แสดงในรูปที่ 13 นอกจากนั้นยัง หัวตัดแบบนี้จะต่อกับท่อ 3 ชนิดได้แก่ อากาศอัด, เชื้อเพลิง, และออกซิเจน สำหรับอุปกรณ์เพิ่มเติมจะถูกติดอยู่ที่ปลายหัวตัด เพื่อควบคุมการเกิดฟองอากาศและในการปรับจะทำการปรับจนกระทั่งเปลวไฟ Preheat มีระยะเหมาะสมกับชิ้นงานที่ถูกตัด
การที่หัวตัดมีความยาวน้อยเพื่อใช้ลดแรงกระทำของอากาศอัดและออกซิเจนต่อน้ำที่ล้อมรอบอยู่
ในกรณีที่ตัดในบริเวณที่ลึก จำเป็นต้องเพิ่มความดันของแก๊สประมาณ 0.5 psi ต่อทุก ๆ ความลึกที่เพิ่มขึ้น 12 นิ้ว เพื่อที่จะชดเชยกับความดันของน้ำที่เพิ่มขึ้นและแรงเสียดทานจากท่อที่ยาวเพิ่มขึ้นโดยปกติจะใช้ MPS, โพรพิลีน , ไฮโดรเจน เพื่อเป็น Preheat แก๊ส เนื่องจากใช้ในช่วงความลึกต่างๆ ได้ดี ไม่นิยมใช้ อะเซทิลีน ที่ความลึกมากกว่า 6 m เนื่องจากค่าความดันที่ปลอดภัยไม่ควรเกิน 15 psig
คุณภาพของรอยที่ได้รับการตัด
จะขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งานซึ่งคุณภาพของรอยตัด ได้แก่
- มีมุมถูกต้อง
- มีผิวที่เรียบ
- มีขอบที่คม
- มีค่าพิกัดความเผื่อ (Tolerance) ต่ำ
- มีการติดของสะเก็ดที่ผิวชิ้นงานต่ำ
- ไม่มีรอยแตกที่ผิว
ค่าพิกัดความเผื่อที่ต่ำๆจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0.8–1.6 mm สำหรับวัสดุที่ความหนาไม่เกิน 51 mm คุณภาพของรอยตัดจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญได้แก่
- ชนิดของโลหะ
- ความหนาของโลหะ
- คุณภาพของโลหะ
- สภาพของผิวโลหะ
- ความเข้มของ Preheat แก๊สและอัตราส่วนเชื้อเพลิงกับอากาศ
- ขนาดและรูปร่างของรู Orifice ของออกซิเจนที่ใช้ตัด
- ความบริสุทธิ์ของออกซิเจน
- อัตราการไหลของออกซิเจน
- ความเรียบ และความสะอาดของรู Nozzle
- ความเร็วที่ใช้ในการตัด
วัสดุต่าง ๆ ที่ใช้ในการตัด
ในการตัดโลหะส่วนใหญ่ จะใช้ตัดด้วยออกซิเจน (OC) สำหรับโลหะผสมและสแตนเลส อาจจำเป็นต้องใช้ตัดแบบ OFC ชนิดพิเศษ โดยการพ่น flux หรือผงช่วยในการตัดซึ่งเป็นกระบวนการตัดโดยการอาร์คชนิดหนึ่ง
เหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าประสมต่ำ (Carbon และ Low Allay Steel)
เหล็กกล้าคาร์บอนสามารถใช้ตัดได้โดยกระบวนการ OFC ดังแสดงในตารางที่ 2 ซึ่งแสดงค่าของอัตราการไหลของแก๊ส และความเร็วในการตัด จากตารางมีข้อสังเกตว่าความหนาสูงสุดที่จะตัดได้คือ 12 นิ้ว (300 mm) ในกรณีที่ความหนามากกว่า 12 นิ้ว (300 mm) จะถือว่าเป็นการตัดแบบใช้งานหนัก
ผลกระทบของส่วนผสมต่าง ๆ
ส่วนผสมต่างๆในโลหะผสมมีผลกระทบ 2 อย่างต่อกระบวนการ OC ได้แก่ ทำให้โลหะตัดได้ยากมากขึ้น หรือ/และ ทำให้โลหะมีความแข็งแรงมากขึ้น ตารางที่ 4 แสดงผลกระทบจากส่วนผสมประเภทต่าง ๆ ปริมาณความร้อนจำนวนมากจะถ่ายเทเข้าไปยังผนังของชิ้นงานที่ถูกตัด ซึ่งจะเพิ่มอุณหภูมิให้สูงมากขึ้น และเมื่อหัวตัดได้วิ่งผ่านจุดดังกล่าวไปแล้วจะทำให้มีการเย็นตัวอย่างรวดเร็วและมีผิวที่แข็งขึ้น
การทำ Preheat และ Postheat
โลหะที่จะใช้ตัดอาจจะต้องมีการทำ Preheat ก่อน เพื่อจะให้มีคุณสมบัติทางกลและทางโลหะวิทยาเหมาะสมหรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัด จุดประสงค์ในการทำ Preheat มีดังนี้
1. เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดได้โดยการเพิ่มความเร็วในการตัดซึ่งจะสามารถลดปริมาณออกซิเจนและเชื้อเพลิงสำหรับการตัด
2. ทำให้อุณหภูมิของโลหะไม่แตกต่างกันมากในระหว่างการตัด ซึ่งจะช่วยกำจัดความเค้นในขณะเย็นตัวลง ซึ่งจะช่วยลดการบิดตัวของโลหะ
3. ป้องกันไม่ให้ผิวโลหะแข็งขึ้นในขณะที่เย็นตัวลง
4. ช่วยลดการเคลื่อนที่ของคาร์บอนไปยังบริเวณผิวหน้าของโลหะที่ถูกตัด ช่วงอุณหภูมิที่ใช้ในการ Preheat โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 90-700 oC ขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของโลหะที่ทำการตัด เหล็กกล้าคาร์บอนและเหล็กกล้าประสมต่ำ โดยทั่วไปจะถูกให้ความร้อนในช่วง 200 – 350 oC และอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากปฏิกิริยาระหว่างออกซิเจนและเหล็ก
ข้อสำคัญในการ Preheat คือควรควบคุมอุณหภูมิให้สม่ำเสมอตลอดหน้าตัด ถ้าหากว่าอุณหภูมิที่ผิวนอกมีค่าต่ำกว่าภายในจะเกิดช่องว่างภายใน ซึ่งจะทำให้คุณภาพของผิวที่ตัดไม่ดี
หรือเกิดสะเก็ดขึ้นที่ผิว
ในกรณีที่ถ้าทำการ Preheat ในเตาอบควรเริ่มต้นทำการตัดให้เร็วที่สุดหลังจากที่ได้นำออกมาจากเตา และถ้าในกรณีที่เตามีขนาดเล็กไม่สามารถอบชิ้นงานทั้งชิ้นได้ควรทำการ Preheat ในบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่จะทำการตัด
ชิ้นงานที่ได้รับการตัดแล้วสามารถนำไปผ่านกระบวนการ การอบอ่อน(annealing) , การอบปกติ (Normalizing) หรือกระบวนการลดความดัน โดยกระบวนการ Post heat ซึ่งอาจทำโดยใช้ความร้อนจากหัวตัดให้ความร้อนแก่ชิ้นงาน
Cast Iron
เหล็กหล่อสามารถตัดได้โดยให้หัวตัดเคลื่อนที่ในรูปแบบแกว่งไปมาในลักษณะตามรูปที่16 ลักษณะของการแกว่งตัวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความหนาของชิ้นงาน และปริมาณของคาร์บอนที่ผสมอยู่ การตัดในลักษณะนี้จะทำให้มีช่องว่างที่เกิดจากการตัด (Kerf) กว้างและมีผิวหน้าที่หยาบ สำหรับปลายหัวตัดที่ใช้จะมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อรองรับอัตราการไหลที่เพิ่มขึ้นและในการตัดจะใช้เปลวไฟแบบ Carburizing
โลหะที่มีความสามารถทนทานต่อการเกิด Oxidation
การเติมโลหะผสมลงในโลหะจะช่วยให้มีความสามารถในการต้านทานการเกิดปฏิกฺริยาออกซิเดชั่นได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ตัดได้ยากขึ้น เราสามารถประยุกต์ใช้กระบวนการตัดโดยใช้ออกซิเจนได้หลายวิธีซึ่งอาจทำให้มีสะเก็ดโลหะเกิดขึ้นที่ผิวหน้าที่ทำการตัด เช่น
- การแกว่งหัวตัด
- การใช้แผ่นโลหะวางด้านบน
- Wire Feed
- Powder Cutting
- Flux Cutting
สำหรับรายละเอียดของวิธีการตัดในแต่ละวิธีมีดังนี้
การแกว่งหัวตัด (Torch Oscillation)
การตัดโดยวิธีนี้จะต้องทำการ Preheat ชิ้นงานให้ทั่วตลอดความหนาจนกระทั่งโลหะมีสีแดง จึงเริ่มทำการตัดโดยให้หัวตัดเคลื่อนที่ในลักษณะแกว่งไปมา
การใช้แผ่นโลหะวางด้านบน (Waster Plate)
การตัดแบบนี้จะหนีบแผ่นเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ (Low Cargon Steel) ที่ผิวด้านบนของวัสดุที่ทำการตัด และจะเริ่มทำการตัดที่ Waster Plate ซึ่งความร้อนจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของ Waster Plate จะถูกส่งผ่านไปยังผิวของชิ้นงานที่ทำการตัดเพื่อช่วยในการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดนชั่น และออกไซด์ของเหล็กจากเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำจะช่วยในการชะล้างออกไซด์ที่ไม่ไหม้ไฟของโลหะที่ถูกตัด วิธีนี้มีข้อเสียคือ มีค่าใช้จ่ายของ Waster Plate , เสียเวลาในการเตรียมการตัด, ความเร็วในการตัดช้า . คุณภาพผิวที่ตัดได้หยาบ
Wire Feed
การตัดโดยวิธีนี้จะทำการป้อนเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็ก เข้าไปยังหัวตัดอย่างต่อเนื่องที่เปลวไฟสำหรับ Preheat ชิ้นงาน ซึ่งลวดจะหลอมละลายอย่างรวดเร็วเข้าไปยังผิวหน้าของโลหะผสม ซึ่งผลที่ได้ของปฏิกิริยาที่เกิดจะคล้ายกับการใช้ Waster Plate
ในส่วนของอัตราการสิ้นเปลืองลวดต้องสัมพันธ์กับปริมาณออกซิเจนที่เหลือพอสำหรับการตัดโดยจะหาได้จากการทดลองทำการตัด ในการตัดโดยใช้วิธีนี้จำเป็นต้องติดตั้ง Guide สำหรับป้อนลวด, มอเตอร์ขับตัวป้อนลวดเข้ากับหัวตัดด้วย
Metal Powder Cutting (POC)
วิธีนี้จะทำการป้อนผงโลหะเข้าสู่หัวตัด โดยทั่วไปนิยมใช้เหล็กผสมกับอลูมิเนียม ซึ่งผงโลหะจะช่วยเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชั่นและช่วยหลอมละลายวัสดุที่ตัดได้ยาก ผงโลหะอาจทำการป้อนเข้าสู่ปลายหัวตัดโดยตรงหรือใช้การพ่นจากภายนอกก็ได้ ซึ่งผงโลหะจะถูกป้อนเข้าไปในช่องว่างที่ได้รับการตัด (Kerf) ปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นจะช่วยให้ออกไซด์ของโลหะในบริเวณพื้นที่ที่ได้รับการตัดมีการไหลได้ดีและถูกเป่าออกไปได้ง่าย อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับจ่ายผงโลหะสำหรับกระบวนการ POC โดยทั่วไปมี 2 ชนิด คือ
- Vibratory Type จะทำการติดตั้ง Vibrator เพื่อควบคุมการไหลของผงโลหะภายใน Hopper ซึ่งปริมาณการไหลจะขึ้นอยู่กับความแรงของการสั่นของ Vibrator
- Pneumatic Type จะมีท่อลมติดตั้งอยู่ใต้ถังซึ่งผงโลหะจะถูกจ่ายพร้อมกับลมเพื่อเข้าสู่หัวตัด หัวตัดชนิดตัดด้วยมือสำหรับกระบวนการ POC ต้องได้รับการออกแบบเฉพาะ โดยจะทำการผสมออกซิเจนกับเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเข้าสู่ปลายหัวตัดที่มีท่อของผงโลหะต่อร่วมอยู่ด้วย ซึ่งผงโลหะจะถูกป้อนเข้าสู่ปลายหัวตัดโดยใช้ลม
Flux Cutting
กระบวนการนี้นิยมในการตัดสแตนเลส ซึ่ง Flux จะไปทำปฏิกิริยากับออกไซด์ของโลหะต่างๆ ที่ผสมลงไป เช่น โครเมียม, นิกเกิ้ล ซึ่งจะไปสร้างสารประกอบที่มีจุดหลอมเหลวใกล้เคียงกับออกไซด์ของเหล็ก ในการเติม Flux จะใช้อุปกรณ์พิเศษทำการป้อน Flux เข้าไปในบริเวณ Kerf ซึ่งทำให้ค่าความเร็วในการตัดมีค่าสม่ำเสมอใกล้เคียงกับความเร็วที่ใช้ในการตัดเหล็กกล้าคาร์บอน โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนที่หัวตัดในลักษณะแกว่งไปแกว่งมา แต่ขนาดของปลายหัวตัดและปริมาณออกซิเจนที่ใช้จะมากขึ้น
Flux Cutting Equipment
จะใช้ชุดป้อน Flux ซึ่งจะมีการป้อนออกซิเจนผ่านชุดป้อนพร้อมกับ Flux เข้าสู่หัวตัดโดยผ่านท่อและไหลออกจากปลายหัวตัดโดยไหลผ่าน Orifice ของท่อออกซิเจนที่ปลายหัวตัด
Oxygen Lance Cutting (LOC)
เป็นกระบวนการตัดที่มีการจ่ายออกซิเจนผ่านท่อซึ่งจะมีความยาวลดลงเรื่อยๆในขณะที่ทำการตัด ในช่วงแรก ๆ กระบวนการ LOC จะใช้ท่อเหล็กดำแบบธรรมดา
ในตอนเริ่มต้นกระบวนการจะใช้ความร้อนจากเปลวไฟของ Oxyfuel Gas ที่ปลายท่อจนมีสีแดงจากนั้นจะเริ่มจ่ายออกซิเจน ซึ่งจะเกิดการเผาไหม้และปลายของท่อจะหลอมละลายไปพร้อมกับชิ้นงานที่ตัด
การเพิ่มประสิทธิภาพจะทำโดยการใส่ลวดเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำเข้าไปในท่อ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของท่อ ขนาดของท่อที่มีขายในท้องตลาดจะยาวประมาณ 3.2 m และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 mm LOC สามารถใช้ในการเจาะวัสดุได้หลายอย่าง เช่น อลูมิเนียม , เหล็กหล่อ , เหล็กกล้าและคอนกรีต นอกจากนั้น LOC ยังสามารถใช้ในการตัดใต้ผิวน้ำได้ด้วย
สำหรับการอาร์คในตอนเริ่มต้นที่ปลายท่อจะใช้แบตเตอรี่ 12 V เป็นแหล่งพลังงานโดยให้ท่อต่ออยู่กับขั้วที่บวก และให้ชิ้นงานต่อกับขั้วลบ จากนั้นจึงเริ่มป้อนออกซิเจนเข้าไปในท่อและลากปลายท่อให้ทำมุม 45’ กับชิ้นงานจะทำให้มีประกายไฟเกิดขึ้นและมีการเผาไหม้ที่ปลายท่อ เราสามารถใช้ในการตัด , เจาะ, ตัดขอบให้เป็นมุม , ตัด Pin , Nut ต่าง ๆ